มติมหาเถรสมาคม
ครั้งที่ 18/2547
มติที่ 303/2547
เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ พ.ศ. ....
มติมหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๑๘/๒๕๔๗ สำนักเลขาธิการมหาเถรสมาคม มติที่ .................................................................. เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ พ.ศ. .... ในการประชุมมหาเถรสมาคมครั้งที่ ๑๘/๒๕๔๗ เมื่อวันที่ ๓๐ มิถุนายน ๒๕๔๗ เลขาธิการมหาเถรสมาคมเสนอว่า ตามที่ในการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๑๐/๒๕๔๗ เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๗ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้นำเรื่อง การประชุมและสัมมนาร่างพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ พ.ศ. .... (ในขั้นการพิจารณาของวุฒิสภา) เสนอต่อที่ประชุม ซึ่งที่ประชุมได้ลงมติแต่งตั้งคณะกรรมการติดตามการดำเนินการเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ พ.ศ. .... จำนวน ๒๑ รูป/คน มี สมเด็จพระญาณวโรดม วัดเทพศิรินทราวาส เป็นประธานกรรมการ ให้มีหน้าที่ติดตามการดำเนินการเกี่ยวกับร่างพระราชบัญญัติจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ พ.ศ. .... และดำเนินการอื่น ๆ ที่เกี่ยวข้อง อย่างใกล้ชิด แล้วนำเสนอมหาเถรสมาคม นั้น การประชุมคณะกรรมาธิการครั้งแรก ที่ประชุมได้อภิปรายกันอย่างกว้างขวางในเรื่องที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ และที่ศาสนสมบัติกลาง และเนื่องจากเห็นว่า เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับวินัยของสงฆ์ นายวิษณุ เครืองาม รองนายกรัฐมนตรี ประธานคณะกรรมาธิการ จึงได้อาราธนา พระเทพโสภณ และ พระราชกวี เพื่อชี้แจงเกี่ยวกับมติที่ประชุมมหาเถรสมาคมครั้งที่ ๑๐/๒๕๔๗ เมื่อวันที่ ๙ เมษายน ๒๕๔๗ ว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องเกี่ยวกับทรัพย์สินของพระพุทธศาสนา ซึ่งเป็นหน้าที่ของสงฆ์จะต้องดูแลรักษาและปฏิบัติให้ถูกต้องตาม พระธรรมวินัย พระภิกษุรูปใดไม่รักษาสิ่งของที่เป็นของสงฆ์อันเป็นทรัพย์สินของพระพุทธ-ศาสนาจะต้องมีความผิดตามพระวินัย ในการประชุมครั้งที่ ๒ และครั้งที่ ๓ เพื่อให้เกิด - ๒ - ความชัดเจนในการชี้แจงกรณีดังกล่าว สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติจึงได้อาราธนาพระเทพโสภณ และ พระราชกวี ซึ่งทั้ง ๒ รูป ได้เข้าร่วมชี้แจงกับคณะกรรมาธิการฯ จนได้ข้อสรุปที่เหมาะสมกับเหตุผล ทำให้คณะกรรมาธิการเข้าใจและเห็นด้วยกับคณะสงฆ์ เข้าถวายรายงานต่อที่ประชุม สรุปดังนี้ พระเทพโสภณ และ พระราชกวี ได้กล่าวถวายรายงานโดยสรุปว่า ๑. มีพระบัญญัติในวินัยปิฎก จุลวรรค เล่ม ๗ ข้อ ๒๙๒ ความว่า อาราม พื้นที่อารามนี้ เป็นของที่ไม่ควรแจกจ่ายหมวดที่หนึ่ง สงฆ์ก็ดี คณะก็ดี บุคคลก็ดี ไม่ควรแจกจ่ายให้ไป แม้แจกจ่ายไปแล้ว ก็ไม่เป็นอันแจกจ่าย รูปใดแจกจ่าย ต้องอาบัติถุลลัจจัย และถ้ามหาเถรสมาคมมีส่วนร่วมก็เป็นอาบัติ หรือพระรูปใดก็ตามให้ความเห็นชอบ ก็เป็นอาบัติทั้งสิ้น จึงเป็นเรื่องที่ไม่สามารถปฏิบัติหรือดำเนินการใด ๆ ได้ เพราะขัดกับพระวินัย พระรูปใดก็ตามให้ความเห็นชอบเป็นอาบัติทุกรูป ๒. การที่คณะสงฆ์ยินยอมให้ส่วนราชการหรือเอกชนนำที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ ไปใช้ประโยชน์ได้โดยโอนกรรมสิทธิ์นั้น เป็นไปตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ ซึ่งกำหนดให้มีค่า ผาติกรรม การที่คณะสงฆ์ต้องปฏิบัติเช่นนี้ ถือว่าเป็นการอนุวัตรตามกฎหมายบ้านเมือง ตามพระบาลีว่า อนุชานามิ ภิกฺขเว ราชูนํ อนุวตฺติตุ? ภิกษุทั้งหลาย เราอนุญาตให้อนุวัตรคล้อยตามพระราชา ดังนั้น พระราชาทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชบัญญัติหรือกฎหมายใด ที่ไม่ขัดกับพระธรรมวินัย เมื่อพระสงฆ์ปฏิบัติตาม จึงถือเป็นการอนุวัตรตามพระราชาคือกฎหมายนั่นเอง ๓. ที่ประชุมคณะกรรมาธิการจึงมีความเห็นว่า ควรให้เพิ่มมาตรา ๔๐ โดยระบุว่า การจัดรูปที่ดินเพื่อพัฒนาพื้นที่ในที่ดินซึ่งเป็นที่ดินของพระพุทธศาสนาตามประมวลกฎหมายที่ดิน ต้องไม่นำความในมาตรา ๓๖ มาใช้บังคับ การดำเนินการในที่ดินซึ่งเป็นที่วัด ที่ธรณีสงฆ์ หรือที่ศาสนสมบัติกลาง ให้ดำเนินการตามกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ - ๓ - อนึ่ง ข้อความในมาตรา ๔๐ วรรคสอง พระราชกวี จะได้เสนอขอแก้เป็น ให้ดำเนินการตามพระวินัย จารีตประเพณี และกฎหมายว่าด้วยคณะสงฆ์ รายละเอียดตามเอกสารที่แนบถวายในที่ประชุม สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเห็นควรนำเสนอมหาเถรสมาคมเพื่อโปรดทราบ ที่ประชุมรับทราบ พลตำรวจโท (อุดม เจริญ) เลขาธิการมหาเถรสมาคม
เอกสารประกอบเพิ่มเติม
เอกสารประกอบ 1 : CCF00392551_00283.pdf (115.04 kb)
จำนวนเข้าดู : 1906
ปรับปรุงล่าสุด : 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 08:00:00
ข้อมูลเมื่อ : 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2560 08:00:00