มติมหาเถรสมาคม
ครั้งที่ 13/2567
มติที่ 424/2567
เรื่อง กรณี ลัทธิเชื่อมจิต
ในการประชุมมหาเถรสมาคม ครั้งที่ ๑๓/๒๕๖๗ เมื่อวันที่ ๒๐ พฤษภาคม ๒๕๖๗ เลขาธิการมหาเถรสมาคมเสนอว่า ตามที่มีการนำเสนอข่าวทางสื่อมวลชนและช่องทางออนไลน์ต่าง ๆ เกี่ยวกับกลุ่มบุคคลนำเอาหลักธรรมคำสอนทางพระพุทธศาสนามากล่าวอ้าง ซึ่งเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางว่าคำสอนนั้นเป็นไปตามหลักธรรมที่ปรากฏในพระไตรปิฎกหรือไม่ และถามถึงอำนาจหน้าที่ของสำนักงาน-พระพุทธศาสนาแห่งชาติว่า สามารถดำเนินการเกี่ยวกับกรณีดังกล่าวได้อย่างไรหรือไม่ นั้น สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติขอนมัสการมหาเถรสมาคม ดังนี้ ๑. สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ มีภารกิจเกี่ยวกับการสนองงานคณะสงฆ์ตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ และที่แก้ไขเพิ่มเติม และกิจการทางพระพุทธศาสนาตามพระราชบัญญัติ ปรับปรุงกระทรวง ทบวง กรม พ.ศ. ๒๕๔๕ และกฎกระทรวงแบ่งส่วนราชการ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๗ โดยเป็นภารกิจโดยทั่วไปเกี่ยวกับกิจการทางพระพุทธศาสนา กรณีมีการเผยแพร่หลักธรรมที่เข้าข่ายบิดเบือนหรือผิดเพี้ยนจากหลักพระพุทธศาสนา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติมิได้นิ่งเฉยแต่อย่างใด โดยได้มอบให้นักวิชาการศาสนาในสังกัดเฝ้าระวัง และติดตามตรวจสอบข้อมูลที่บุคคลและกลุ่มบุคคลเผยแพร่ออกมาทางโซเชียลมีเดียตั้งแต่ต้นมาโดยลำดับ และได้มีการประสานไปยังหน่วยงานที่มีหน้าที่เกี่ยวข้อง เพื่อดำเนินการตรวจสอบตามอำนาจหน้าที่แล้ว ๒. ประเด็นการเชื่อมจิตนั้น ไม่ปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฎกแต่อย่างใด การเชื่อมจิตเพื่อให้บุคคลเข้าถึงธรรม ขัดกับธรรมคุณ ๖ ประการ ซึ่งธรรมของพระพุทธองค์นั้น ผู้ปฏิบัติจะพึงเห็นชัดด้วยตนเอง คือ ผู้ใดปฏิบัติ ผู้ใดบรรลุ ผู้นั้นย่อมเห็นประจักษ์ด้วยตนเองไม่ต้องเชื่อตามคำของผู้อื่นผู้ใดไม่ปฏิบัติ ไม่บรรลุ ผู้อื่นจะบอกก็เห็นไม่ได้ อีกทั้งวิญญูชนพึงรู้เฉพาะตน คือ เป็นวิสัยของวิญญูชนจะพึงรู้ได้ เป็นของจำเพาะตน ต้องทำจึงเสวยได้เฉพาะตัว ทำให้กันไม่ได้ เอาจากกันไม่ได้ และรู้ได้ประจักษ์ที่ในใจของตนนี่เอง (ที่มา พจนานุกรมพุทธศาสตร์ ฉบับประมวลธรรม สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ป.อ. ปยุตฺโต)) ๓. ประเด็นที่มีบุคคลกล่าวอ้างว่าเป็นอนาคามีแล้วลงมาเกิดเป็นพญานาคก่อน แล้วมาเกิดเป็นมนุษย์ชาตินั้น ตามหลักพระพุทธศาสนา ผู้ที่บรรลุธรรมถึงขั้นอนาคามี จะไม่กลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีก (ไม่กลับมาสู่ความเป็นอย่างนี้ คือ อัตภาพแห่งมนุษย์) ตามหลักธรรมที่ปรากฏในพระไตรปิฎก (พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อิติวุตตก ติกนิบาต เล่มที่ ๑๗ ฉบับมหาจุฬาฯ ข้อ ๙๖) ข้อนี้มีในพระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๖ พระอภิธรรมปิฎกเล่มที่ ๓ ฉบับมหาจุฬาฯ ธาตุกถาเอกกปุคคลบัญญัติ นิทเทส เป็นหลักอ้างอิงเพิ่มเติมอีกว่า [๓๕] บุคคลชื่อว่าอนาคามี เป็นไฉน บุคคลบางคนในโลกนี้ เพราะสังโยชน์เบื้องต่ำทั้ง ๕ ประการ สิ้นไป เป็นโอปปาติกะ ปรินิพพานในเทวโลกชั้นสุทธาวาสนั้น ไม่กลับมาจากภพนั้นเป็นธรรมดา บุคคลนี้เรียกว่า ผู้เป็นอนาคามี มี ๕ ประเภท ได้แก่ [๓๖] ๑) อันตราปรินิพพายี ได้แก่ ผู้ปรินิพพานในระหว่าง คือ เกิดในสุทธาวาสภพใด ภพหนึ่งแล้ว อายุยังไม่ถึงกึ่ง ก็ปรินิพพานโดยกิเลสปรินิพพาน [๓๗] ๒) อุปหัจจปรินิพพายี ได้แก่ ผู้จวนจะถึงจึงปรินิพพาน คือ อายุพ้นกึ่งแล้ว จวนจะถึงสิ้นอายุจึงปรินิพพาน [๓๘] ๓) อสังขารปรินิพพายี ได้แก่ ผู้ปรินิพพานโดยไม่ต้องใช้แรงชักจูง คือ ปรินิพพานโดยง่าย ไม่ต้องใช้ความเพียรนัก [๓๙] ๔) สสังขารปรินิพพายี ได้แก่ ผู้ปรินิพพานโดยใช้แรงชักจูง คือ ปรินิพพานโดยต้องใช้ความเพียรมาก [๔๐] ๕) อุทธังโสโต อกนิฏฐคามี ได้แก่ ผู้มีกระแสในเบื้องบนไปสู่อกนิฏฐภพ คือ เกิดในสุทธาวาสภพใดภพหนึ่งแล้วก็ตาม จะเกิดเลื่อนต่อขึ้นไปจนถึงอกนิฏฐภพแล้วจึงปรินิพพาน และ [๔๓] บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อละกามราคะและพยาบาทโดยไม่เหลือชื่อว่า ผู้ปฏิบัติเพื่อทำให้แจ้งอนาคามิผล บุคคลใดละกามราคะและพยาบาทได้โดยไม่เหลือ บุคคลนี้เรียกว่า ผู้เป็นอนาคามี ๔. ประเด็นที่มีบุคคลกล่าวอ้างว่าเป็นลูกพระพุทธเจ้าในชาติก่อนเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ มาเกิดนั้น พระไตรปิฎกเล่มที่ ๓๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒๕ ฉบับมหาจุฬาฯ ขุททกนิกาย อปทาน ภาค ๒ พุทธวงศ์จริยาปิฎก ปรากฏพระนามของพระพุทธเจ้าและพระโอรสก่อนออกผนวชแต่ละพระองค์ไว้แล้วอย่างชัดเจน หากผู้ใดกล่าวอ้างว่าเป็นบุตรของพระพุทธเจ้าแล้ว ย่อมสามารถขยายใจความและระบุพระนามพระพุทธเจ้าในฐานะพระบิดา และพระนามของตนในฐานะพระโอรสในชาติก่อน ๆ ได้ อนึ่ง ชื่อเรียกพระพุทธศากยมุนีเป็นคำพุทธพยากรณ์ของพระพุทธเจ้าในอดีตที่ทรงพยากรณ์แด่พระโคตมพุทธเจ้าว่า จักได้เป็นพระพุทธเจ้าในอนาคตนามว่าพระพุทธศากยมุนี หรือพระโคตมพุทธเจ้านั่นเอง แต่พระโอรสของพระพุทธโคตมพุทธเจ้ามีพระองค์เดียวคือ พระราหุล และพระราหุลนั้นท่านได้บรรลุเป็นพระอรหันต์แล้ว ย่อมไม่มาเกิดอีก (พระไตรปิฎก เล่มที่ ๑๔ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๖ ฉบับมหาจุฬาฯ มัชฌิมนิกาย อุปริปัณณาสก์ สฬายตนวรรค จูฬราหุโลวาทสูตร) ๕. ประเด็นที่มีบุคคลกล่าวอ้างว่าพระพุทธเจ้าและเทพเกลียดดอกไม้สีเหลืองให้เอาดอกไม้สีเหลืองออกจากโต๊ะหมู่บูชานั้น ไม่ปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฎก และขัดกับพระพุทธจริยา (บำเพ็ญบารมี ๑๐ ประการ) โดยเฉพาะเมตตาบารมีและอุเบกขาบารมี (อปทานะ ภาคที่ ๒ จริยาปิฎก) และขัดแย้งกับหลักคำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งหมด ซึ่งรวมเป็นหัวใจคำสอนของพระพุทธศาสนา คือ ละความชั่ว บำเพ็ญความดี และทำจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ฉบับมหาจุฬาฯ ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปทานสูตร ทรงแสดงพระโอวาทปาติโมกข์) ๖. ประเด็นที่มีบุคคลกล่าวอ้างว่าได้แสงสีทองจากพระพุทธเจ้ามาเชื่อมจิตนั้น ในหลักอภิญญา ๖ ไม่มีการเชื่อมจิตและในหลักของพระพุทธศาสนาฝ่ายเถรวาท พระพุทธเจ้าหรือพระอรหันต์ เมื่อดับขันธปรินิพพานแล้ว จะไม่ปรากฏรูปนามอีกต่อไป ดังความที่ว่า ชาติสิ้นแล้ว อยู่จบพรหมจรรย์แล้ว ทำกิจที่ควรทำเสร็จแล้ว ไม่มีกิจอื่นเพื่อความเป็นอย่างนี้อีกต่อไป (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๓ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๕ มัชฌิมนิกาย มัชฌิมปัณณาสก์ ปริพพาชกวรรค อัคคิวัจฉโคตตสูตร) ๗. ประเด็นที่มีบุคคลกล่าวอ้างว่าได้รับบัญชาจากพระพุทธเจ้ามาเพื่อฟื้นฟูศาสนานั้น พระพุทธเจ้าไม่ได้ทรงมอบหมายให้ผู้ใด แต่ตรัสกับพระอานนท์ ว่าธรรมและวินัยที่พระองค์แสดงแล้ว บัญญัติแล้ว เมื่อพระองค์ล่วงไป จักเป็นพระศาสดาของท่านทั้งหลาย (พระไตรปิฎกเล่มที่ ๑๐ พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๒ ทีฆนิกาย มหาวรรค มหาปรินิพพานสูตร พระปัจฉิมวาจาของพระตถาคต) เพื่อให้เป็นไปตามพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ แก้ไขเพิ่มเติมโดยพระราชบัญญัติคณะสงฆ์ (ฉบับที่ ๒) พ.ศ. ๒๕๓๕ มาตรา ๑๕ ตรี ว่าด้วยอำนาจหน้าที่มหาเถรสมาคม (๔) บัญญัติให้รักษาหลักพระธรรมวินัยของพระพุทธศาสนา สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเห็นควรนำเสนอมหาเถรสมาคมเพื่อโปรดพิจารณา ที่ประชุมพิจารณาแล้วมีมติ ดังนี้ ๑. รับทราบการดำเนินการของสำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ และมอบหมายให้ดำเนินการคุ้มครองพระพุทธศาสนาตามหน้าที่และอำนาจให้เท่าทันต่อเหตุการณ์ เพื่อป้องกันระงับยับยั้งความเสียหายที่อาจเกิดขึ้นต่อพระพุทธศาสนา ๒. กรณีที่มีการกระทำใด ๆ ซึ่งอ้างถึงหลักธรรมหรือวิธีการปฏิบัติทางพระพุทธศาสนา แต่มิได้ปรากฏหลักคำสอนดังกล่าวในพระไตรปิฎก คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา มติ อาณัติ และอรรถาธิบายของคณะสงฆ์ที่ชอบด้วยหลักพระพุทธศาสนา หากเข้าข่ายเป็นการกระทำความผิดตามกฎหมาย ให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติพิจารณาดำเนินการ และบูรณาการกับหน่วยงาน ที่เกี่ยวข้องตามพฤติการณ์แห่งกรณี ๓. กำชับเจ้าคณะ พระสังฆาธิการ และสำนักงานพระพุทธศาสนาจังหวัดทุกจังหวัดให้หมั่นกวดขันตรวจตรา อธิบาย และชี้แจงให้สาธารณชนเข้าใจถึงหลักธรรมและวิธีการปฏิบัติที่ถูกต้องตามหลักพระพุทธศาสนา เพื่อป้องกันมิให้เกิดเหตุการณ์ในลักษณะดังกล่าวอีก และให้ดำเนินการได้ทันที โดยไม่ต้องรอรับรองรายงานการประชุม
เอกสารประกอบเพิ่มเติม
เอกสารประกอบ 1 : 13200567_424 ลัทธิเชื่อมจิต.pdf (2.77 mb)
จำนวนเข้าดู : 3332
ปรับปรุงล่าสุด : 10 มิถุนายน พ.ศ. 2567 10:19:34
ข้อมูลเมื่อ : 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2567 11:35:16