มติมหาเถรสมาคม
ครั้งที่ 17/2552
มติที่ 410/2552
เรื่อง รายงานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาพระสงฆ์
ในการประชุมมหาเถรสมาคมครั้งที่ ๑๗/๒๕๕๒ เมื่อวันที่ ๑๐ สิงหาคม ๒๕๕๒ เลขาธิการมหาเถรสมาคมเสนอว่า สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติได้มอบให้กองพุทธศาสนสถานตรวจรายงานการประชุมคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหา พระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ ครั้งที่ ๑/๒๕๕๒ เมื่อวันศุกร์ที่ ๑๙ มิถุนายน ๒๕๕๒ เวลา ๑๐.๐๐ น. ณ ห้องประชุมชั้น ๒๐ กระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมตามที่ได้มอบให้เข้าร่วมประชุม โดยมีสาระผลการประชุม ดังนี้ คณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ของกระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมีนโยบายในด้านการป้องกันและแก้ไขปัญหาพระสงฆ์อย่างต่อเนื่องตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๓๘ โดยมีอำนาจหน้าที่ ดังนี้ - กำหนดนโยบายและมาตรการในการป้องกันและแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ - กำกับ ดูแล ประสานงานให้สอดคล้องและเป็นไปตามนโยบายและ แนวทางที่กำหนดไว้ - สั่งการ และติดตามผลการดำเนินการเพื่อแก้ไขปัญหา อุปสรรค รวมทั้งเรื่องการปฏิบัติงานของหน่วยราชการที่เกี่ยวข้อง - ดำเนินการแก้ไขปัญหาในกรณีเร่งด่วนเฉพาะหน้าในเรื่องใหญ่ ๆ อันจะก่อให้เกิดผลเสียหายต่อประเทศชาติและศาสนา - ให้มีอำนาจในการคัดเลือกผู้ทรงคุณวุฒิในคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ และให้มีอำนาจแต่งตั้งคณะกรรมการระดับจังหวัดและระดับอำเภอ หรือคณะกรรมการอื่นได้ตามที่เห็นสมควร คณะกรรมการฯ ได้กำหนดหลักเกณฑ์ในการจำแนกที่พักสงฆ์ในเขต พื้นที่ป่าไม้ และแนวทางการแก้ไขปัญหาแต่ละประเภทไปดำเนินการใน ๓ รูปแบบ และให้สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาตินำเสนอมหาเถรสมาคมทราบ และเวียนแจ้งคณะสงฆ์ทราบอีกครั้ง หากมีการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้เพื่อสร้างที่พักสงฆ์เพิ่มเติมจากเดิมที่คณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ได้สำรวจไว้จำนวน ๕,๕๒๙ แห่ง จะให้หน่วยงานที่รับผิดชอบดำเนินการตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ที่พักสงฆ์ในเขตพื้นที่ป่าไม้แต่ละประเภทให้ดำเนินการ ๓ รูปแบบ ดังนี้ ๑. ผลักดันให้ออกจากพื้นที่ โดยมีหลักเกณฑ์ คือ - ที่พักสงฆ์นั้น ๆ ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตอุทยานแห่งชาติ เขตพื้นที่ต้นน้ำลำธาร และเข้าไปอยู่อาศัยหลังจากประกาศจัดตั้งเป็นเขตอนุรักษ์นั้น ๆ แล้ว - ที่พักสงฆ์นั้น ๆ ตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง หรือตั้งอยู่ในพื้นที่ที่เสี่ยงต่อการบุกรุกพื้นที่ป่าไม้ หรือเสี่ยงต่อการเข้าไปทำลาย หรือกระทบกระเทือนต่อการรักษาป่าและสิ่งแวดล้อม - ที่พักสงฆ์นั้น ๆ ตั้งอยู่ในพื้นที่โซน C ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ ๑๐ และ ๑๗ มีนาคม ๒๕๓๕ ที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง และไม่มีชุมชนเข้าไปอยู่อาศัย - ที่พักสงฆ์นั้น ๆ เข้าไปอยู่หลังจากได้มีการจัดทำทะเบียนที่พักสงฆ์เสร็จสิ้นแล้ว และไม่มีรายชื่ออยู่ในบัญชี ๒. จัดทำโครงการส่งเสริมให้วัดหรือสำนักสงฆ์ช่วยงานด้านป่าไม้ ซึ่งเป็น-โครงการของพนักงานเจ้าหน้าที่กรมป่าไม้ โดยใช้อำนาจตามความในมาตรา ๑๙ แห่ง พ.ร.บ. ป่าสงวนแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๗ มาตรา ๑๙ แห่ง พ.ร.บ. อุทยานแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๐๔ และมาตรา ๓๘ แห่ง พ.ร.บ. สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ. ๒๕๓๕ โดยให้พระสงฆ์ อยู่ในเขตโครงการได้ในฐานะเป็นผู้เข้าร่วมโครงการ ซึ่งมีหลักเกณฑ์ ดังนี้ - ที่พักสงฆ์นั้น ๆ ตั้งอยู่ในเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตอุทยานแห่งชาติ เขตพื้นที่ต้นน้ำลำธาร และเข้าไปอยู่อาศัยก่อนการประกาศจัดตั้งเป็นเขตอนุรักษ์นั้น ๆ - ที่พักสงฆ์นั้น ๆ ตั้งอยู่ในเขตป่าสงวนแห่งชาติที่เสื่อมโทรม และมีความมุ่งมั่นที่จะป้องกันดูแลรักษาป่าอย่างแท้จริง และราษฎรโดยรอบบริเวณให้ความร่วมมือในการป้องกันรักษาไว้ - ที่พักสงฆ์นั้น ๆ ตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าไม้ ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔ ที่มีความอุดมสมบูรณ์สูง - ที่พักสงฆ์นั้น ๆ ตั้งอยู่ในพื้นที่โซน C ตามมติ ครม. เมื่อวันที่ ๑๐ และ ๑๗ มีนาคม ๒๕๓๕ ซึ่งมีชุมชนเข้าไปอาศัยแล้ว - ที่พักสงฆ์นั้น ๆ ตั้งอยู่ในพื้นที่สงวนหวงห้ามใด ๆ ที่พนักงานเจ้าหน้าที่เห็นสมควรแล้ว โดยมีปัจจัยอื่นที่ดำเนินการแก้ไขปัญหาในรูปแบบอื่นมิได้แล้ว อนึ่ง สำหรับกิจกรรมการดำเนินโครงการส่งเสริมให้วัดหรือสำนักสงฆ์ช่วยงานด้านป่าไม้ ดังนี้ - เจ้าหน้าที่ป่าไม้ถวายความรู้พระสงฆ์เกี่ยวกับงานด้านป่าไม้และการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติ - ทำความเข้าใจด้านการอนุรักษ์ทรัพยากรป่าไม้กับชุมชนใกล้เคียงที่พักสงฆ์ โดยมีพระสงฆ์เป็นแกนนำ - ปลูกต้นไม้เสริมหรือทดแทน ในพื้นที่เสื่อมโทรมหรือบริเวณที่เหมาะสมตามหลักวิชาการ - จัดทำป้ายชื่อพรรณไม้และป้ายพุทธสุภาษิต - ป้องกันการบุกรุกพื้นที่ภายในบริเวณโครงการร่วมกับพระสงฆ์ ๓. ให้ที่พักสงฆ์นั้นขออนุญาตสร้างวัดโดยถูกต้องตามกฎหมาย หรือให้สิทธิครอบครองตามประมวลกฎหมายอื่นที่เกี่ยวข้อง โดยมีหลักเกณฑ์ ดังนี้ - ที่พักสงฆ์นั้น ๆ ตั้งอยู่ก่อนที่จะมีการประกาศเขตป่าสงวนแห่งชาติ - ที่พักสงฆ์ที่ตั้งอยู่ในพื้นที่ป่าไม้ ตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พ.ศ. ๒๔๘๔และ/หรือตกการสำรวจการขึ้นทะเบียนเป็นวัดตามกฎกระทรวงฉบับที่ ๑ (พ.ศ. ๒๕๐๗) ออกตามความใน พ.ร.บ. คณะสงฆ์ พ.ศ. ๒๕๐๕ ผลจากการสำรวจจำนวนที่พักสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ จากการสำรวจและตรวจสอบโดยหน่วยงานรับผิดชอบ รวมทั้งสิ้น ๕,๕๒๙ แห่ง พื้นที่ประมาณ ๑๙๒,๗๖๓ ไร่ สามารถแยกที่พักสงฆ์ในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ ดังนี้ - ป่าสงวนแห่งชาติ ๔,๒๔๙ แห่ง พื้นที่ประมาณ ๑๕๗,๒๒๖ ไร่ - ป่าตามพระราชบัญญัติป่าไม้ พุทธศักราช ๒๔๘๔ ๒๖๘ แห่ง พื้นที่ประมาณ ๑๒,๖๖๘ ไร่ - เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า ๔๑ แห่ง พื้นที่ประมาณ ๑,๔๙๐ ไร่ - เขตอุทยานแห่งชาติ ๑๗๑ แห่ง พื้นที่ประมาณ ๘,๗๖๘ ไร่ - เขตปฏิรูปที่ดินเพื่อเกษตรกรรม (ส.ป.ก.) ๓๒๐ แห่ง พื้นที่ประมาณ ๓,๕๔๕ ไร่ - อื่น ๆ (พื้นที่ของรัฐ, เอกชน มีเอกสารสิทธิ) ๓๘๐ แห่ง พื้นที่ประมาณ ๙,๐๖๖ ไร่ ผลการจำแนกการประชุมคณะกรรมการป้องกันและแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ระดับอำเภอ และระดับจังหวัด ของที่พักสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ ที่ได้มีการสำรวจ(จากข้อ ๒.๒.๑ จำนวน ๕,๕๒๙ แห่ง) มีดังนี้ คณะกรรมการได้มีการประชุมและจำแนกแล้ว ๓,๐๕๖ แห่ง (๕๕.๒๗ %) จำแนกออกเป็นประเภทต่าง ๆ ดังนี้ - ผลักดันให้ออกจากพื้นที่ ๖๘ แห่ง - จัดทำโครงการส่งเสริมให้วัดหรือสำนักสงฆ์ช่วยงานด้านป่าไม้ ๙๘๙ แห่ง - ขออนุญาตสร้างวัดโดยถูกต้องตามกฎหมาย ๑,๙๙๙ แห่ง - อยู่ระหว่างการดำเนินการของคณะกรรมการ ๑,๙๒๘ แห่ง (๓๔.๘๗ %) - อยู่ในที่เอกชนมีเอกสารสิทธิ์ ๕๔๕ แห่ง (๙.๘๖ %) ตั้งเป็นวัดถูกต้องแล้ว, ร้าง ตามผลการจำแนกข้อ ๓) ต่อไปจะตัดออกจากบัญชีตามโครงการแก้ไขปัญหาพระสงฆ์ในพื้นที่ป่าไม้ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเห็นควรนำเสนอมหาเถรสมาคมเพื่อโปรดทราบ ที่ประชุมรับทราบ
เอกสารประกอบเพิ่มเติม
เอกสารประกอบ 1 : c41-17100852_410.pdf (117.43 kb)
จำนวนเข้าดู : 3213
ปรับปรุงล่าสุด : 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 11:52:04
ข้อมูลเมื่อ : 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2553 11:52:04