มติมหาเถรสมาคม
ครั้งที่ 23/2553
มติที่ 512/2553
เรื่อง โครงการหน่วยแพทย์พระราชทานเคลื่อนที่สำหรับพระภิกษุสามเณรในพระราชูปถัมภ์ฯ เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔
ในการประชุมมหาเถรสมาคมครั้งที่ ๒๓/๒๕๕๓ เมื่อวันที่ ๑๑ ตุลาคม ๒๕๕๓เลขาธิการมหาเถรสมาคมเสนอว่า เลขาธิการมูลนิธิโรงพยาบาล ๕๐ พรรษา มหาวชิราลงกรณ เลขานุการคณะกรรมการดำเนินงานโครงการฯ ได้มีหนังสือ ที่ มรพ. ๕๐ มวก./พ.๓๑๒/๒๕๕๓ ลงวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๕๓ แจ้งว่า มูลนิธิโรงพยาบาล ๕๐ พรรษา มหาวชิราลงกรณ ได้จัดทำโครงการหน่วยแพทย์พระราชทานเคลื่อนที่สำหรับพระภิกษุสามเณร ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร เฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๔ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๔ ในการนี้ ได้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการดำเนินการ โดยมีรัฐมนตรีว่าการกระทรวงสาธารณสุข เป็นประธาน ซึ่งได้ มีการประชุมคณะกรรมการไปแล้ว ๒ ครั้ง ได้ข้อสรุปสำหรับการดำเนินการปฏิบัติการออกตรวจสุขภาพพระภิกษุสามเณร ทั่วประเทศ เริ่มตั้งแต่วันที่ ๗ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ ถึงวันที่ ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๓ มีรายละเอียดดังนี้ ๑. ความเป็นมา การจัดบริการสาธารณสุขของประเทศไทย ในช่วงสองทศวรรษที่ผ่านมาได้มีการจัดบริการแบบผสมผสานทั้งด้านส่งเสริมสุขภาพ ป้องกันโรค รักษาพยาบาลและฟื้นฟูสภาพ ซึ่งเป็นจุดแข็งของระบบเอื้อต่อการปรับตัวไปสู่ทิศทางของ Good Health Approach ประเทศไทยได้นำกลวิธีการสาธารณสุขมูลฐานมาปรับใช้ตั้งแต่ปี ๒๕๒๑ เป็นต้นมา โดยพยายามดึงภาคประชาชนเข้าร่วมกิจกรรมทางด้านสุขภาพ และส่งเสริมให้ประชาชนพึ่งตนเอง แต่ประสบปัญหาเกี่ยวกับกับการจัดบริการด้านสุขภาพ คือมีค่าใช้จ่ายสูงมากในการรักษาพยาบาลที่ผูกติดกับเทคโนโลยีและวิทยาการชั้นสูง บางครั้งมีบริการที่ราคาแพงเกินความจำเป็นจากการรักษาพยาบาล ซึ่งเป็นการให้บริการเชิงรับ และจากการประชุมระหว่างประเทศ เรื่องการส่งเสริมสุขภาพ ครั้งที่ ๑ ณ กรุงออตตาวา ประเทศแคนาดา ในปี ๒๕๒๙ ได้ให้ความหมายของการส่งเสริมสุขภาพ หมายถึง กระบวนการเพิ่มสมรรถนะให้คนมีความสามารถเพิ่มขึ้นในการควบคุมและส่งเสริม ให้สุขภาพของตนเองดีขึ้น ในการบรรลุสุขภาวะที่สมบูรณ์ทั้งทางร่างกาย จิตใจ และสังคม ปัจเจกบุคคลหรือกลุ่มบุคคล ควรที่จะต้องมีความสามารถที่จะบ่งบอกและตระหนักถึงความ- มุ่งมาดปรารถนาของตนเองที่จะสนองความต้องการต่าง ๆ ของตนเองและสามารถที่จะเปลี่ยนแปลง หรือปรับตนให้เข้ากับสิ่งแวดล้อม ดังนั้น เรื่องสุขภาพจึงถูกมองในลักษณะของความจำเป็นสำหรับชีวิตประจำวัน มิใช่เพียงจุดมุ่งหมายของการดำรงชีวิตเท่านั้น การส่งเสริมสุขภาพ เน้นการสร้างสุขภาพและการป้องกันการเจ็บป่วย การจัดบริการด้านส่งเสริมสุขภาพต้องอาศัยองค์ความรู้หลากหลายสาขา ไม่ใช่ความรู้ทางการแพทย์ และการสาธารณสุขอย่างเดียว รวมทั้งองค์ความรู้อื่น ๆ ได้แก่ สังคมวิทยา จิตวิทยา เศรษฐ-ศาสตร์ การพัฒนาชุมชน เป็นต้น ดังนั้น การทำงานเป็นทีมจึงมีความสำคัญมาก ฉะนั้น ระบบบริการส่งเสริมสุขภาพ ต้องมีการพัฒนาอย่างเป็นระบบ มีมาตรฐาน และกลมกลืนกับการควบคุมป้องกันโรค การรักษาพยาบาลและฟื้นฟูสภาพ โดยปรับเปลี่ยน พฤติกรรมสุขภาพที่ถูกต้องให้แก่ประชชาชน เน้นการพัฒนาพื้นฐานในการดูแลสุขภาพตนเองอย่าง ถูกต้องของประชาชนเพื่อให้สุขภาพทางกายและจิตที่ดี มีภูมิต้านทานโรค ไม่เจ็บป่วยหรือเจ็บป่วยแล้วจะไม่ป่วยซ้ำอีก ๒. วัตถุประสงค์ ๑. เพื่อถวายเป็นพระราชกุศลเฉลิมพระเกียรติ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดชมหาราช รัชกาลที่ ๙ เนื่องในมหามงคลวโรกาสพระชนมพรรษาครบ ๘๔ พรรษา (๗ รอบ) ในปีพุทธศักราช ๒๕๕๔ ๒. เพื่อเผยแพร่พระเกียรติคุณและน้อมรำลึกในพระมหากรุณาธิคุณที่มีต่อประชาชนชาวไทยทั่วทั้งประเทศ และทรงเป็นองค์เอกอัครศาสนูปถัมภกมาโดยตลอด ๓. เพื่อให้พระภิกษุสามเณรเกิดความตื่นตัว ตระหนักและเห็นความสำคัญ ให้ความสนใจเข้ารับการตรวจสุขภาพตามชุดสิทธิประโยชน์หลักตามโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า ๔. เพื่อให้พระภิกษุสามเณรทราบปัจจัยเสี่ยงในการที่จะเกิดภาวะเจ็บป่วย ในอนาคตของตนเอง เพื่อให้เกิดความตื่นตัวและนำไปสู่การปรับเปลี่ยนและหลีกเลี่ยงพฤติกรรม-เสี่ยงเหล่านั้น ๕. เพื่อให้พระภิกษุสามเณรในกลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงด้านสุขภาพ และที่มี ภาวะโรคได้รับการให้คำปรึกษาที่เหมาะสม การปรับเปลี่ยนพฤติกรรมด้านสุขภาพเพื่อลดปัจจัยเสี่ยงต่าง ๆ ๖. เพื่อให้พื้นที่ได้รับทราบและสามารถวิเคราะห์สภาวะสุขภาพของชุมชน อันจะนำไปสู่การร่วมกันกับผู้นำชุมชนและประชาชนในการวางแผนแก้ไขปัญหาสาธารณสุขของชุมชนได้ตามความเป็นจริง ๗. เพื่อให้เกิดการเชื่อมโยงฐานข้อมูลการตรวจสุขภาพประจำปีกับฐานข้อมูลการเข้ารับบริการสุขภาพที่สถานบริการที่เป็นระบบ ๘. เพื่อให้บริการด้านดูแลสุขภาพอนามัยแก่พระภิกษุสามเณรทั่วประเทศไทยตามวัตถุประสงค์ของมหาเถรสมาคม ๙. เพื่อเผยแพร่และประชาสัมพันธ์กิจกรรมองมูลนิธิโรงพยาบาล ๕๐ พรรษา มหาวชิราลงกรณ และโรงพยาบาล ๕๐ พรรษา มหาวชิราลงกรณ ในพระสังฆราชูปถัมภ์ฯ โดยเน้นการแพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนไทย และแพทย์แผนจีน ควบคู่กันไป ๓. ผู้รับผิดชอบโครงการ ๓.๑ โรงพยาบาล ๕๐ พรรษา มหาวชิราลงกรณ ในพระสังฆราชูปถัมภ์ สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ๓.๒ มูลนิธิโรงพยาบาล ๕๐ พรรษา มหาวชิราลงกรณ ๓.๓ กระทรวงสาธารณสุข ๓.๔ มูลนิธิพระรัตนตรัย ในพระราชูปถัมภ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร ๓.๕ สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติ ๓.๖ สมาคมศาสตร์การแพทย์แผนจีน ๓.๗ มหาวิทยาลัยราชภัฏจันทรเกษม ๓.๘ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ ๓.๙ มหาวิทยาลัยรังสิต ๓.๑๐ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ๓.๑๑ มหาวิทยาลัยสุโขทัยธรรมาธิราช ๓.๑๒ มหาวิทยาลัยราชภัฏอุบลราชธานี ๔. กลุ่มเป้าหมาย พระภิกษุสามเณรทั่วประเทศ ๗๖ จังหวัด (มหานิกาย และ ธรรมยุติกนิกาย) ๕. การดำเนินงาน ๕.๑ การจัดเตรียมบุคลากรทางการแพทย์ ในรูปแบบ หน่วยแพทย์ พระราชทานในสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร จากบุคลากรในกระทรวง- สาธารณสุขทั้งจากส่วนกลางและจังหวัดที่ดำเนินการ ซึ่งประกอบด้วย แพทย์แผนปัจจุบัน แพทย์แผนจีน แพทย์แผนไทย ทันตแพทย์ เภสัชกร พยาบาล นักเทคนิคการแพทย์ ผู้ช่วย ทันตแพทย์ เจ้าพนักงานรังสีการแพทย์ พนักงานขับรถ เจ้าหน้าที่อื่น ๆ ๕.๒ การจัดเตรียมครุภัณฑ์การแพทย์และเวชภัณฑ์ต่าง ๆ เตรียมคลังยา อุปกรณ์การแพทย์ รถทันตกรรมเคลื่อนที่ รถตรวจสุขภาพ และเอกซ์เรย์เคลื่อนที่ สำหรับใช้ ในการตรวจรักษาและวินิจฉัย ๕.๓ ประสานกับผู้ว่าราชการจังหวัด สาธารณสุขจังหวัด และวินิจฉัย ถวายเจ้าคณะจังหวัด เพื่อประกาศและประชาสัมพันธ์ในท่ามกลางสงฆ์ ๕.๔ การดำเนินงานการตรวจสุขภาพที่ได้มาตรฐาน สำนักงานพระพุทธศาสนาแห่งชาติเห็นควรนำเสนอมหาเถรสมาคมเพื่อโปรดทราบ ที่ประชุมรับทราบ และขออนุโมทนา
เอกสารประกอบเพิ่มเติม
เอกสารประกอบ 1 : scan0004_512.pdf (197.23 kb)
จำนวนเข้าดู : 614
ปรับปรุงล่าสุด : 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 14:50:10
ข้อมูลเมื่อ : 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553 14:50:10